วิธีการดูแลรักษาและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการปลูกส้ม
“ส้ม” รวมถึงพืชทุกชนิด ขั้นตอนการดูแลรักษาระหว่างการปลูกมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็น การบำรุงและปรับธาตุอาหารในดินที่อาจเสื่อมสภาพลง ปริมาณของน้ำที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ปัญหาจากวัชพืช แมลง โรคพืช ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการปลูก สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ หากมีวิธีการดูแลรักษาและป้องกันปัญหาอย่างถูกวิธี
ในระหว่างการปลูกส้ม ดิน น้ำ อากาศ และ ปุ๋ย เป็นสิ่งจำเป็นที่สัมพันธ์กันในการดูแลรักษาต้นส้มให้แข็งแรง เช่น อากาศร้อนจัดอาจส่งผลให้ดินแห้ง ใบเหี่ยว ต้องเพิ่มปริมาณการให้น้ำ รวมถึงปุ๋ยที่มีหน้าที่บำรุงและปรับสภาพดินเพื่อลำเลียงธาตุอาหารไปยังต้นส้มในปริมาณที่เหมาะสม หากใส่ปุ๋ยมากเกินไปอาจจะทำให้ดินมีค่ากรด-ด่าง ที่เป็นผลเสีย เกิดปัญหาดินเค็มและโรคพืช เป็นต้น สำหรับการดูแลรักษาต้นส้มในระหว่างการปลูก จำแนกตามองค์ประกอบในการปลูกส้ม ดังนี้
1. การปรับสภาพดินให้เหมาะสม หมั่นสังเกตดิน หรืออาจวัดค่าความเป็นกรด-ด่างในดิน หากมีความผิดปกติต้องปรับสภาพดินอาจใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และแกลบเป็นวัสดุปรับปรุงดิน โดยส่วนใหญ่ พื้นที่ปลูกส้มในย่านบางมด ดินจะมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 5.1-6.5 ค่าของปริมาณอินทรียวัตถุมีค่าต่ำถึงปานกลาง คือร้อยละ 0.5-2.5 การปรับปรุงดินอย่างง่ายทำได้โดยการใส่ปุ๋ยหมักหรืออินทรีวัตถุอื่น ๆ ส่วนดินที่เป็นกรดควรมีการใส่ปูนขาวปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง ของดิน เพื่อประโยชน์ของธาตุอาหารโดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียม ให้ไม้ผลมีการเจริญเติบโตและมีผลผลิตสูง แต่ค่า pH ในดินไม่ควรเกิน 5.5 และไม่ควรใส่ปูนพร้อมกับปุ๋ยทุกชนิด (วาสนา มานิช, ปิยทัศน์ ทองไตรภพ และพรรณปพร กองแก้ว, 2552)
2. ปุ๋ยกับการเพิ่มผลผลิต การให้ปุ๋ยทุกชนิดควรมีการวิเคราะห์ดินก่อนปลูก และภายหลังจากการเก็บเกี่ยวทุกปี เพื่อจะได้ทราบชนิดและอัตราของปุ๋ยที่ใช้ให้ตรงกับพืชที่ต้องการ เช่น การใส่ปุ๋ยควรเริ่มตั้งแต่ปลูกจนถึงอายุ 1 ปี ควรใส่ปุ๋ยคอกผสมไปที่ดินบนโขดส้มประมาณ 4-5 กิโลกรัม หรือ 2 บุ้งกี๋/ต้น หลังจากปลูกประมาณ 1 เดือน ให้หว่านปุ๋ยยูเรีย ต้นละ 1 ช้อนแกง หรือ 30 กรัม ส่วนปุ๋ยเคมีควรใช้สูตรเสมอ เช่น 15-15-15 ต้นละ 100 กรัม ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง สำหรับปุ๋ยคอกให้ใส่ในอัตรา 2-3 บุ้งกี๋ หรือประมาณ 4-5 กิโลกรัม ในระยะปีที่ 2 ควรใส่ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง อัตรา 2-3 บุ้งกี๋ หรือ 4-5 กิโลกรัม และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 300-500 กรัม / ต้น ประมาณ 3 เดือน/ครั้ง ในช่วงอายุ 3 ปีขึ้นไปควรใส่ปุ๋ยเคมีที่มีตัวท้ายสูงจะทำให้ต้นส้มเริ่มติดผล จากนั้นในช่วงที่ผลใกล้แก่ควรให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อให้ผลส้มมีคุณภาพดีขึ้น ไม่ควรใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากเกินไป (วิทยา พงษ์สวัสดิ์, อำไพวรรณ ภราดร์นุวัฒน์, เกษม กาหลง, ม.ป.ป.)
กรมส่งเสริมการเกษตร (2564) ได้แนะนำการใส่ปุ๋ยไว้ว่า ให้เป็นไปตามการวิเคราะห์ดิน ควรทำ 1-2 ปี ต่อครั้ง เพื่อใส่ปุ๋ยตามสูตรและอัตราที่เหมาะสม ถ้า pH ต่ำกว่า 5.5 (เป็นกรด) ควรใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ (Dolomite) อัตรา 1-2 กก./ต้น ปีละ 1-2 ครั้งในฤดูแล้ง ให้น้ำตามปกติ การปลูกในปีแรกให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 10-20 กก./ต้น และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กก./ต้นในปีที่ 2-4 โดยใส่ปีละครั้งช่วงปลายฤดูฝน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15+46-0-0 (1:1) อัตรา 0.5-1.0 กก./ต้นในปีแรก โดยแบ่งใส่ 4-6 เดือนต่อครั้ง และอัตรา 1-2 กก./ต้น ในปีที่ 2-4 โดยใส่ 3-4 เดือนต่อครั้ง และเมื่อต้นส้มมีอายุ 4 ปีขึ้นไป ให้ใส่ปุ๋ยดังนี้ ก่อนออกดอกใส่สูตร 12-24-12 อัตรา 1 กก./ต้น และพ่นปุ๋ยทางใบเพื่อเพิ่มธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม และเมื่อถึงระยะติดผลให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง ใบรอน และแมงกานีส เป็นต้น โดยพ่นทางใบ ช่วงใกล้เก็บเกี่ยวใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 1-2 กก./ต้น หลังเก็บเกี่ยว ใส่ปุ๋ย 15-15-15+46-0-0(1:1) อัตรา 1-3 กก./ต้น พร้อมพ่นปุ๋ยทางใบที่มีธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมและให้ปุ๋ยอินทรีย์ 20-50 กก./ต้น
สำหรับดินย่านบางมดที่มีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม รวมทั้งธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมในระดับสูงถึงสูงมากอาจจะใช้สูตร 15-0-0 อัตรา 100กรัม/ต้น ร่วมกับ 25-7-7 อัตรา 100กรัม/ต้น โดยใส่ทุกเดือนจนผลส้มมีอายุ 5-6 เดือน จากนั้นพ่นปุ๋ยทางใบหรือน้ำหมักชีวภาพอัตรา 4 ช้อนโต๊ะ/น้ำ 20 ลิตร ทุก 10-15 วัน การใส่ปุ๋ยในปริมาณที่เพียงพอทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าการไม่ใส่ปุ๋ย แต่ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะอาจทำให้มีเกลือสะสมในดินสูง โดยปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีที่สุดคือ ปุ๋ยคอก รองลงมาคือ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด แกลบ และ ปุ๋ยเคมี (วาสนา มานิช, ปิยทัศน์ ทองไตรภพ และพรรณปพร กองแก้ว, 2552)
3. ด้านการจัดการน้ำ การให้น้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการปฏิบัติดูแลรักษา หากส้มเขียวหวานขาดน้ำจะทำให้ต้นโทรม โรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่าย ระยะที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำทุกวัน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นส้มเริ่มตั้งตัวได้แล้วการให้น้ำควรให้วันเว้นวัน และเมื่อต้นส้มโตแล้วควรควบคุมการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับช่วงของการเจริญเติบโต ดิน และสภาพอากาศ เช่น ในระยะก่อนออกดอกต้องการน้ำน้อยเนื่องจากอยู่ในช่วงเก็บสะสมอาหาร แต่เมื่อผลติดแล้วจะต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงผลแก่ เมื่อเข้าสีแล้วแล้วควรลดปริมาณน้ำลงจากปกติจะช่วยให้ผลส้มแก่เร็วขึ้น วิธีการให้น้ำมีหลายวิธีตามความเหมาะสม เช่น ให้น้ำทางสายยาง การใช้เรือรดน้ำ และการให้น้ำแบบระบบสปริงเกอร์ ในกรณีที่ปลูกส้มเขียวหวานในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง มักจะพบปัญหาเรื่องโรครากเน่าโคนเน่าอยู่เสมอ (วิทยา พงษ์สวัสดิ์, อำไพวรรณ ภราดร์นุวัฒน์, เกษม กาหลง, ม.ป.ป.)
สำหรับการปลูกแบบยกร่อง ต้องปรับสภาพน้ำในร่องให้เหมาะสมอยู่สม่ำเสมอด้วยน้ำชีวภาพอัตรา 1 : 200 ระดับน้ำในร่องสวนต่ำกว่าชายขอบร่อง หรือเรียกว่า “สนามพี” ระดับน้ำในท้องร่องไม่สูงเกินกว่า 30 เซนติเมตร จากท้องร่อง หรือต่ำกว่านี้เพื่อรองรับน้ำในช่วงฤดูฝน และต้องสูบออกหากน้ำมีปริมาณมากเกินไป
การรดน้ำในระยะที่เพิ่งปลูกกิ่งส้มใหม่ๆ ต้องรดน้ำทุกวัน เวลาให้น้ำที่เหมาะสมคือ 08.00-10.00 น. และ 14.00-16.00 น. รดจนดินชุ่มบริเวณโคนและรัศมีโดยรอบ 1 เมตร ประมาณ 10-15 ลิตร/ต้น นาน 3-4 สัปดาห์ เมื่อต้นส้มตั้งตัวได้และเริ่มแตกใบอ่อนจึงให้น้ำห่างขึ้น เปลี่ยนเป็นรดน้ำ 3 วัน ติดต่อกัน เว้น 2 วัน หรือหากฝนตกติดต่อกัน 3-4 วัน ไม่ต้องรดน้ำ สังเกตอาการเหี่ยวของใบเป็นหลัก หากใบเหี่ยวหรือม้วนในตอนกลางวันที่แดดจัด วันรุ่งขึ้นจึงรดน้ำ เมื่อต้นส้มออกดอกติดผลยังคงรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ (วาสนา มานิช, ปิยทัศน์ ทองไตรภพ และพรรณปพร กองแก้ว, 2552 ; กรมส่งเสริมการเกษตร, 2564)
4. การพยุงลำต้น ตัดแต่งกิ่งและใบ การพยุงลำต้นต้องทำตั้งแต่เริ่มนำกิ่งพันธุ์ลงปลูกด้วยการใช้ไม้ยึดผูกกับกิ่งพันธุ์ไว้ เมื่อต้นส้มเริ่มโต แตกกิ่งและใบ ให้ทำการตัดแต่งกิ่งโดยเลือกตัดแต่งกิ่งแขนงที่รกทึบด้านในลำต้นและกลางลำต้นออกเพื่อให้แสงแดดสามารถส่องเข้าถึงโคนต้น กิ่งปลายยอดที่ห้อยลงชิดดิน กิ่งที่อ่อนแอ กิ่งน้ำค้าง กิ่งที่มีลักษณะคดงอทับกัน กิ่งที่มีโรคหรือถูกแมลงทำลาย
5. วัชพืช ควรมีการกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้วัชพืชขึ้นรก และไม่ควรใช้สารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืชที่ใกล้กับโคนต้นส้ม เนื่องจากส้มเขียวหวานมีระบบรากตื้นอาจได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดวัชพืชบางประเภทได้
6. โรคพืชและแมลงศัตรูพืช ในระหว่างการปลูก อาจพบโรคและแมลงในต้นส้มได้หลากหลายชนิดขึ้น สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แนะนำการป้องกันการกำจัดปัญหาจากโรคพืชและแมลงศัตรูพืชที่พบบ่อยในต้นส้ม ไว้ดังนี้
ชนิดของโรคพืช
โรครากเน่า โคนเน่า
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา น้ำขังหรือท่วมบริเวณโคนต้นเป็นเวลานาน
อาการที่พบในต้นส้ม จะเกิดบริเวณโคนต้นใกล้ผิวดินอาการเริ่มแรก เปลือกจะเน่าเป็นจุด ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและเน่า เปลือกที่เน่าจะมียางสีน้ำตาลไหลออกมา ใบเหลืองซีด ร่วงหล่น กิ่งเริ่มแห้ง และตายในที่สุด
การป้องกันและกำจัด กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นให้สะอาด ตัดแต่งกิ่งให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น อย่าให้มีน้ำขังหรือท่วมบริเวณโคนต้นเป็นเวลานาน อาจใช้สารเคมีกำกัดเชื้อราในกลุ่มของฟอสฟอริกแอซิสทาตรงส่วนโคนต้นที่เป็นโรค
อาการที่พบในต้นส้ม จะเกิดบริเวณโคนต้นใกล้ผิวดินอาการเริ่มแรก เปลือกจะเน่าเป็นจุด ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและเน่า เปลือกที่เน่าจะมียางสีน้ำตาลไหลออกมา ใบเหลืองซีด ร่วงหล่น กิ่งเริ่มแห้ง และตายในที่สุด
การป้องกันและกำจัด กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นให้สะอาด ตัดแต่งกิ่งให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น อย่าให้มีน้ำขังหรือท่วมบริเวณโคนต้นเป็นเวลานาน อาจใช้สารเคมีกำกัดเชื้อราในกลุ่มของฟอสฟอริกแอซิสทาตรงส่วนโคนต้นที่เป็นโรค
โรคกรีนนิ่ง
สาเหตุ มีเพลี้ยกระโดดเป็นพาหะนำเชื้อโรคไปติดกับกิ่งพันธุ์ หรือการนำกิ่งพันธุ์ที่มีโรคมาปลูก
อาการที่พบในต้นส้ม ใบมีสีเหลืองจนซีด ใบมีขนาดเล็กเรียวและตั้งขึ้น ใบหนากว่าปกติ ผลมีขนาดเล็ก เมล็ดลีบ ร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันและกำจัด คัดกิ่งพันธุ์ที่จะนำมาปลูกให้มั่นใจว่าปราศจากโรค หรือฉีดสารป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดส้ม เช่น ไดเมโทเอต (Dimethoate) อัตรา 30 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร และทำลายส่วนต่างๆที่เป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
อาการที่พบในต้นส้ม ใบมีสีเหลืองจนซีด ใบมีขนาดเล็กเรียวและตั้งขึ้น ใบหนากว่าปกติ ผลมีขนาดเล็ก เมล็ดลีบ ร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันและกำจัด คัดกิ่งพันธุ์ที่จะนำมาปลูกให้มั่นใจว่าปราศจากโรค หรือฉีดสารป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดส้ม เช่น ไดเมโทเอต (Dimethoate) อัตรา 30 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร และทำลายส่วนต่างๆที่เป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
โรคกรีนนิ่ง
สาเหตุ มีเพลี้ยกระโดดเป็นพาหะนำเชื้อโรคไปติดกับกิ่งพันธุ์ หรือการนำกิ่งพันธุ์ที่มีโรคมาปลูก
อาการที่พบในต้นส้ม ใบมีสีเหลืองจนซีด ใบมีขนาดเล็กเรียวและตั้งขึ้น ใบหนากว่าปกติ ผลมีขนาดเล็ก เมล็ดลีบ ร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันและกำจัด คัดกิ่งพันธุ์ที่จะนำมาปลูกให้มั่นใจว่าปราศจากโรค หรือฉีดสารป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดส้ม เช่น ไดเมโทเอต (Dimethoate) อัตรา 30 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร และทำลายส่วนต่างๆที่เป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
อาการที่พบในต้นส้ม ใบมีสีเหลืองจนซีด ใบมีขนาดเล็กเรียวและตั้งขึ้น ใบหนากว่าปกติ ผลมีขนาดเล็ก เมล็ดลีบ ร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันและกำจัด คัดกิ่งพันธุ์ที่จะนำมาปลูกให้มั่นใจว่าปราศจากโรค หรือฉีดสารป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดส้ม เช่น ไดเมโทเอต (Dimethoate) อัตรา 30 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร และทำลายส่วนต่างๆที่เป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
โรคแคงเกอร์
สาเหตุ
เกิดจากหนอนชอนใบทำให้เกิดเป็นแผล เชื้อโรคเข้าไปได้ง่าย หรือการนำกิ่งพันธุ์ที่มีโรคมาปลูก หรืออาจมาจากต้นมะนาวที่ปลูกในสวนส้ม
อาการที่พบในต้นส้ม ใบจะเป็นแผลกลมนูน แตกเป็นสะเก็ดสีน้ำตาลทั้งในด้านบนและใต้ใบในใบอ่อนจะมีดวงสีเหลืองล้อมรอบแผล บางครั้งอาจมียางไหลออกมาด้วย อาการที่กิ่งเป็นแผลมีสะเก็ดที่เปลือก ถ้าเป็นมากจะทำให้กิ่งตาย อาการที่ผลจะเกิดรอยแตกตามขวาง
การป้องกันและกำจัด ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคไปเผาทำลายหรือฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดหนอนชอนใบ ในระยะแตกใบอ่อน ดอกและผลอ่อน
อาการที่พบในต้นส้ม ใบจะเป็นแผลกลมนูน แตกเป็นสะเก็ดสีน้ำตาลทั้งในด้านบนและใต้ใบในใบอ่อนจะมีดวงสีเหลืองล้อมรอบแผล บางครั้งอาจมียางไหลออกมาด้วย อาการที่กิ่งเป็นแผลมีสะเก็ดที่เปลือก ถ้าเป็นมากจะทำให้กิ่งตาย อาการที่ผลจะเกิดรอยแตกตามขวาง
การป้องกันและกำจัด ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคไปเผาทำลายหรือฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดหนอนชอนใบ ในระยะแตกใบอ่อน ดอกและผลอ่อน
ชนิดของแมลงศัตรูพืช
หนอนชอนใบ
สาเหตุ/ลักษณะการรบกวนของแมลงศัตรูพืช เมื่อไข่จากหนอนเต็มวัยที่วางไข่ใต้ผิวใบไว้ฟักเป็นตัว จะชอนไชกินใบอ่อน พบระบาดรุนแรงในฤดูฝน เป็นต้นเหตุการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียเข้าทำลายซ้ำ โดยเฉพาะโรคแคงเกอร์
อาการที่พบในต้นส้ม ที่ใบจะมองเห็นเป็นทางขาวคดเคี้ยวไปมา จากการถูกชอนไชกินใบอ่อน ทำให้ใบหงิกงอหยุดชะงักการเจริญเติบโต บางครั้งจะเจาะกิ่งอ่อนของส้มด้วย
การป้องกันและกำจัด ตัดยอดอ่อนที่ถูกทำลายไปเผาไฟ กำจัดวัชพืชในสวน และในระยะเริ่มแตกใบอ่อน ควรฉีดพ่นด้วยสารเคมี คาร์โบซัลแฟนไซฟลูธริน (Carbosulfan Cyfluthrin)
อาการที่พบในต้นส้ม ที่ใบจะมองเห็นเป็นทางขาวคดเคี้ยวไปมา จากการถูกชอนไชกินใบอ่อน ทำให้ใบหงิกงอหยุดชะงักการเจริญเติบโต บางครั้งจะเจาะกิ่งอ่อนของส้มด้วย
การป้องกันและกำจัด ตัดยอดอ่อนที่ถูกทำลายไปเผาไฟ กำจัดวัชพืชในสวน และในระยะเริ่มแตกใบอ่อน ควรฉีดพ่นด้วยสารเคมี คาร์โบซัลแฟนไซฟลูธริน (Carbosulfan Cyfluthrin)
ไรสนิมส้ม
สาเหตุ/ลักษณะการรบกวนของแมลงศัตรูพืช พบในช่วงอากาศแห้งแล้ง เข้าทำลายโดยการดูดน้ำเลี้ยงจากผลและใบ ทั้งด้านบนใบ และด้านใต้ใบ
อาการที่พบในต้นส้มผลส้มที่ถูกไรสนิมดูดกิน จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลสนิม ผลมีลักษณะสกปรก ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ
การป้องกันและกำจัดหมั่นสำรวจแปลงส้มอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงอากาศแห้งแล้ง เมื่อพบระบาดมากให้ทำการฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น โปรปาไกจ์ หรือกำมะถันผง
อาการที่พบในต้นส้มผลส้มที่ถูกไรสนิมดูดกิน จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลสนิม ผลมีลักษณะสกปรก ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ
การป้องกันและกำจัดหมั่นสำรวจแปลงส้มอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงอากาศแห้งแล้ง เมื่อพบระบาดมากให้ทำการฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น โปรปาไกจ์ หรือกำมะถันผง
เพลี้ยไฟ
สาเหตุ/ลักษณะการรบกวนของแมลงศัตรูพืช
เป็นแมลงที่มีขนาดเล็กตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะสามารถดูดกินน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อน ใบอ่อน และผล
อาการที่พบในต้นส้ม ผลที่ถูกทำลายจะปรากฎรอยสีเทาเงินเป็นวงบริเวณขั้วผลและก้นผล หรือเป็นทางสีเทาตามความยาวของผลส้ม ทำให้ผลส้มแคระแกร็น
การป้องกันและกำจัด ให้เด็ดผลที่แคระแกร็นหรือผลที่ถูกเพลี้ยไฟทำลายทิ้งและถ้าพบมีการระบาดมากให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น คาร์โบซัลแฟน (Carbosulfan) อิมิดาโคลพริด (Imidacloprid)
อาการที่พบในต้นส้ม ผลที่ถูกทำลายจะปรากฎรอยสีเทาเงินเป็นวงบริเวณขั้วผลและก้นผล หรือเป็นทางสีเทาตามความยาวของผลส้ม ทำให้ผลส้มแคระแกร็น
การป้องกันและกำจัด ให้เด็ดผลที่แคระแกร็นหรือผลที่ถูกเพลี้ยไฟทำลายทิ้งและถ้าพบมีการระบาดมากให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น คาร์โบซัลแฟน (Carbosulfan) อิมิดาโคลพริด (Imidacloprid)
เพลี้ยอ่อน
สาเหตุ/ลักษณะการรบกวนของแมลงศัตรูพืช
พบระบาดมากเมื่อฝนทิ้งช่วงโดยมีมดเป็นพาหะ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยสามารถเข้าทำลายส้มเขียวหวานได้โดยดูดกินน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใบ
อาการที่พบในต้นส้ม ใบที่ผลิออกมาใหม่เกิดการหงิกงอไม่เจริญเติบโต
การป้องกันและกำจัด หากพบการระบาดเพียงเล็กน้อยอาจใช้น้ำฉีดแรงๆก็จะทำให้ตัวเพลี้ยอ่อนหลุดออกไปได้แต่ถ้าพบระบาดมากให้กำจัดด้วยการฉีดพ่นสารเคมีประเภทดูดซึมด้วยคาร์บาริล (Carbaryl) มาลาไทออน (Malathion)
อาการที่พบในต้นส้ม ใบที่ผลิออกมาใหม่เกิดการหงิกงอไม่เจริญเติบโต
การป้องกันและกำจัด หากพบการระบาดเพียงเล็กน้อยอาจใช้น้ำฉีดแรงๆก็จะทำให้ตัวเพลี้ยอ่อนหลุดออกไปได้แต่ถ้าพบระบาดมากให้กำจัดด้วยการฉีดพ่นสารเคมีประเภทดูดซึมด้วยคาร์บาริล (Carbaryl) มาลาไทออน (Malathion)
เพลี้ยหอย หรือ เพลี้ยสะเก็ด
สาเหตุ/ลักษณะการรบกวนของแมลงศัตรูพืช เป็นแมลงปากดูดชนิดหนึ่ง ตัวแก่ปกคลุมด้วยวัตถุแข็งเหนียวคล้ายเกราะ หรือมีเกราะอ่อนๆคล้ายขี้ผึ้งหนาๆคลุมตัวไว้ จะดูดน้ำเลี้ยงจากใบ กิ่ง ดอก และผล
อาการที่พบในต้นส้ม ทำให้เปลือกมีสีซีด ผลแคระแกร็น ผิวเปลือกเป็นหลุม ถ้ามีการระบาดมากจะทำให้ใบ หรือผลหลุดร่วง ผลผลิตเสียหาย
การป้องกันและกำจัด ถ้าแดดไม่ร้อนจัด อุณหภูมิไม่สูงมากนัก อาจพ่นด้วยไวท์ออยล์หรือปิโตรเลียมออยล์เพื่อลดการระบาดลงได้ หลังจากนี้ควรตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคไปเผาทำลายเสร็จแล้วฉีดพ่นด้วยสารเคมีพวกมาลาไทออน (malathion) สารเคมีประเภทดูดซึมพวกไดเมโทเอต (dimethoate)
อาการที่พบในต้นส้ม ทำให้เปลือกมีสีซีด ผลแคระแกร็น ผิวเปลือกเป็นหลุม ถ้ามีการระบาดมากจะทำให้ใบ หรือผลหลุดร่วง ผลผลิตเสียหาย
การป้องกันและกำจัด ถ้าแดดไม่ร้อนจัด อุณหภูมิไม่สูงมากนัก อาจพ่นด้วยไวท์ออยล์หรือปิโตรเลียมออยล์เพื่อลดการระบาดลงได้ หลังจากนี้ควรตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคไปเผาทำลายเสร็จแล้วฉีดพ่นด้วยสารเคมีพวกมาลาไทออน (malathion) สารเคมีประเภทดูดซึมพวกไดเมโทเอต (dimethoate)
ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดแมลงมากเกินไป และ ควรหยุดใช้สารเคมีก่อนเก็บเกี่ยวผลส้ม 1 เดือน (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2564)
ปัญหาหลักสำหรับการปลูกส้ม คือ พื้นที่ในการปลูก หากบริเวณที่ทำการปลูกเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม ไม่สามารถควบคุมน้ำได้ในฤดูน้ำหลากอาจะทำให้เกิดโรคพืชได้ ในกรณีที่ปลูกส้มเขียวหวานในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง มักจะพบปัญหาเรื่องโรครากเน่าโคนเน่าอยู่เสมอ รวมถึงดินที่อาจถูกน้ำเซาะ พื้นที่ที่ดินมีสภาพเป็นกรดด่างสูง ดินเค็ม ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระหว่างการปลูกส้มสูงตามมา ผลผลิตที่ได้อาจไม่สัมพันธ์กับต้นทุน รวมถึงรสชาติของส้มอาจไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ ชาวสวนส้ม ส่วนใหญ่จะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม ปลูกอย่างถูกวิธี แต่ในบางครั้งอาจเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด เช่น ด้านสภาพอากาศ แมลงศัตรูพืช การใช้ปุ๋ยและสารเคมีเป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละด้านเท่านั้น หากใช้สารเคมีมากเกินไปจะส่งผลกระทบในระยะยาวกับต้นส้ม เกษตรกร สภาพแวดล้อมดิน น้ำ อากาศ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยรอบ รวมถึงผู้บริโภค
การเก็บผลส้มเขียวหวานจะเก็บผลได้เมื่อมีอายุประมาณ 8-9 เดือน นับจากดอกบาน การเก็บนิยมใช้วิธีบิดผลโดยใช้มือจับด้านใต้ผลขึ้นไปแล้วหักทับบริเวณขั้วผลไปทางด้านใดด้านหนึ่งก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย การเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวผลส้ม จะทำความสะอาด คัดขนาด นำไปบรรจุลงในภาชนะ เช่น กล่องกระดาษ หรือตะกร้าพลาสติก เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป ในระหว่างนี้จะต้องเก็บรักษาผลส้มไม่ให้เสื่อมคุณภาพ เช่น การเก็บไว้ในห้องเย็น เก็บไว้ในห้องมืด หรือใช้วิธีการเคลือบผิวส้มด้วยน้ำยา เช่น ขี้ผึ้งพาราฟิน วิธีนี้จะช่วยให้ยืดอายุการเก็บผลส้มเขียวหวานได้นานประมาณ 45 ถึง 60 วัน ไม่เสื่อมคุณภาพและน้ำหนักของส้มไม่ลดลงมากนัก (วิทยา พงษ์สวัสดิ์, อำไพวรรณ ภราดร์นุวัฒน์, เกษม กาหลง, ม.ป.ป.)